
ศิลปะโรมัน พ.ศ.340-พ.ศ.870 แบบอย่างศิลปะโรมันมักปรากฏลักษณะชัดเจนในช่วงพุทธศตวรรษที่สี่เรื่อยมาจนกระทั่งประมาณ พ.ศ.1040พ.ศ. โดยในช่วงเวลาหลังได้เปลี่ยนสาระเรื่องราวใหม่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาคริสต์สืบต่อมาเป็นเวลาอีกนานมากจนกระทั่งเมื่อกรุงคอนสะแตนติโนเปิลได้กลายเป็นเมืองหลวงใหม่ของจักรวรรดิโรมันในปี พ.ศ.270 ทำให้สมัยแห่งโรมันต้องสิ้นสุดลงแหล่งอารยธรรมสำคัญของโรมันคืออารยธรรมกรีกและอีทรัสกันจิตรกรรมโรมันอาศัยศัยจากการค้นคว้าข้อมูลจากเมืองปอมเปอี สตาบิเอและะเฮอร์คิวเลนุมซึ่งถูกถล่มทับด้วยลาวาจากถูเขาไฟวิสุเวียส เมื่อ พ.ศ.662 และถูกขุดค้นพบในสมัยปัจจุบันจิตรกรรมผาฝนังประกอบด้วยแผงรูปสี่เหลี่ยผืนผ้าซึ่งมักเลียนแบบหินอ่อนเป็นภาพทิวทัศน์ภาพคนและภาพเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมมีการใช้แสงเงาและกายวิภาคของมนุษย์ชัดเจนเขียนด้วยสีฝุ่นผสมกับกาวน้ำปูนและสีขี้ฝึ้งร้อนนอกจากการวาดภาพยังมีภาพประดับด้วยเศษหินสีซึ้งใช้กันอย่างกว้างขวางทั้งบนพื้นและผนังอาคาร

องค์ประกอบทุกตัวภายในภาพ “กำเนิดวีนัส” ของ บอตติเชลลี เต็มไปด้วยความเคลื่อนไหวที่สอดประสานคล้องจองกันอย่างมีสุนทรียภาพไม่ว่าจะเป็นท่วงท่าและการเคลื่อนไหวอันอ่อนช้อยงดงาม ความงามสง่าของเส้นขอบนอกที่ลื่นไหลเป็นอิสระของรูปทรง และเส้นผมที่ยาวสยายนุ่มสลวยและปลิวไสวไปตามสายลมของเทพนารี รวมทั้งการปรากฏกายของเทพเจ้าแห่งสายลมและพระชายาที่เกี่ยวกระหวัดรัดรึงเป็นหนึ่งเดียวกันในนภากาศ การโบกสะบัดของแพรผ้าสีสดท่ามกลางสายลมที่พัดผ่าน และริ้วคลื่นที่ม้วนตัวเข้าสู่ฝั่งเป็นระรอก
ภายในภาพปรากฏสัญลักษณ์ของเทพนารีอโฟรไดท์หลายอย่าง เช่น ดอกกุหลาบสีชมพู ที่โปรยปรายลงมาพร้อมกับลมเป่าของเทพนารีแห่งมวลบุปผชาติ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความรักที่สามารถพิชิตทุกสิ่งในโลก หอยเป็นสัญลักษณ์ของน้ำ ความอุดมสมบูรณ์ และอารมณ์ปรารถนาอันร้อนแรง