
ศิลปกรรมของโรมัน
กรีกถูกพิชิตโดยโรมัน แต่กลับนำศิลปะและวัฒนธรรมที่เจริญกว่ามาชนะใจชาวโรมันทำให้ชาวโรมันยอมรับในศิลปะกรีก BC)เหมือนกับ Philip ของ Macedon และ Alexander ซึ่งเขาทั้งหลายได้พิจารณาแล้วว่า วัฒนธรรมและศิลปะกรีกนั้นเหนือกว่าวัฒนธรรมอื่นใดแต่ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดบ้างให้สอดคล้องกับอุปนิสัย ธรรมเนียมประเพณีและความคิด ทำให้งานทั้งสองชาติต่างกันบ้างโดยกรีกเน้นความเรียบง่ายสง่างาม เพื่อแสดงพุทธิปัญญาและความเป็นปราชญ์ แต่โรมันเน้นความหรูหรา สง่างาม อำนาจ ศิลปกรรมสนองความต้องการทางกายและความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิ์ เหมือนกันกับจักรวรรดิ์ Hellenistic ที่เกิดก่อน จักรวรรดิ์โรมันได้ยึดเอารูปแบบลักษณะ(character) ของกรีกอย่างชัดเจน จักรวรรดิ์โรมันได้ขนเอางานศิลปะของกรีกจำนวนนับพันรวมถึงการ Copy อีกจำนวนมหาศาล จริงๆแล้วจำนวนไม่น้อยของงานศิลปะกรีกในปัจจุบันเรารู้จักผ่านการ Copy ของโรมันแทบทั้งนั้น(ของกรีกแท้เหลือน้อยศิลปะกรีกส่วนใหญ่คือศิลปะกรีกที่โรมันทำจำลองขึ้น) เทพของกรีก ถูก Adapted สู่ศาสนาของโรมัน Jupiter จากภาษากรีกเป็นภาษาละติน กลายเป็น Zeus เทพ Venus กลายเป็น Aphrodite และอื่นๆอีกมาก
ในช่วงแรกๆโรมันใช้แบบแผนสถาปัตยกรรมของกรีก ในการก่อสร้างอาคารและวิหารของตน ชอบเป็นพิเศษในเรื่องของการประดับตกแต่งอย่างมากมายตามแบบแผนของ Corinthian จำนวนมาก(หากไม่ใช่ทั้งหมด)ของศิลปินโรมันคือคนเชื้อชาติกรีกจนกระทั่งเขาทั้งหลายได้กลายเป็นคนโรมัน( Romanized)ไป ในที่สุด ในช่วงหลังโรมันมีการพัฒนาด้านศิลปกรรมมากขึ้นโดยเฉพาะเห็นได้อย่างชัดเจนด้านสถาปตยกรรมที่มีรูปแบบเฉพาะตัวและเทคนิคที่มีความโดดเด่น แม้กระทั่งในยุคปัจจุบันสถาปัตยกรรมจำนวนมากก็ได้อิทธิพลทางด้านรูปแบบและวิธีการมาจากโรมัน
ประติมากรรม
โรมันยังขาดประติมากรผู้มีฝีมือสูงในระยะแรกๆ จึงนิยมขนประติมากรรมกรีกไปประดับอาคารสถานที่ต่างๆของตนทั้งทางสาธารณะและสมบัติส่วนตน 146 ปีก่อน ค.ศ.มีบันทึกว่าโรมันขนรูปหล่อสำริด 285 รูป รูปสลักหินอ่อน 30 รูปจากเมืองคอรินธ์ หรือสมัยจักรพรรดิเนโรก็ได้ขนรูปหล่อสำริด 500 รูปจากเมืองเดฟีไปไว้ในกรุงโรม ครั้นต่อมางานกรีกเริ่มหร่อยหรอน้อยลง จึงเกิดการทำการลอกเลียนผลงานกรีกชิ้นเยี่ยมๆที่มีชื่อเสียงของกรีกขึ้นมาใหม่ ซึ่งผลงานเหล่านี้ทำให้คนรุ่นปัจจุบันมีผลงานของกรีกเหลือให้ศึกษาจำนวนมากรวมถึง Spear Bearer ด้วย นอกจากนี้ยังมีการลอกเลียนรูปแบบงานในราชสำนัก(official)ของกรีกด้วย ดังเช่น Figures ของจักรพรรดิ์ Augustus of Prima Porta เป็นตัวอย่างว่าได้แบบอย่างจากศิลปะกรีกที่มีมาก่อน แต่มันอาจจะผสมศิลปะ Etruscan ในลักษณะด้านความอบอุ่นและความเป็นมนุษย์มีชีวิตชีวาของมัน(Warmth and Humanity)ลักษณะดังกล่าวเป็นแรงบันดาลใจพิเศษให้กับศิลปะที่ Roman เก่งมากเป็นพิเศษคือภาพเหมือนของบุคคลทั่วไป ต่างจากกรีกที่นิยมเทพเจ้าและชนชั้นปกครอง
สถาปัตยกรรม
โรมันได้ผสมผสานความรู้ด้านสถาปัตยกรรมจากกรีกและอีทรัสกันและนำความรู้นั้นมาสนองความต้องการของตนเองซึ่งคำนึงถึงด้านประโยชน์ใช้สอยมากกว่าฉพาะเพียงด้านความงาม นอกจากจะนำรูปแบบหัวเสาของกรีกมาใช้ โดยเฉพาะนิยมนำแบบคอรินเธียนมาใช้แล้ว ยังมีการคิดประดิษฐ์หัวเสาที่เรียกว่าคอมโพไซท์(Composite)โดยมีลักษณะผสมผสานระหว่างไอโอนิคกับคอรินเธียน มีการนำระบบก่อสร้างแบบ Arch กับ Vault ซึ่งพวกอีทรัสกันเคยใช้มาพัฒนาให้เกิดความก้าวหน้ามากขึ้น เช่นนำ Vault มาทำโครงสร้างหลังคาสร้างเป็นรูปโดม ด้านวัสดุก่อสร้างนอกเหนือจากหินอ่อนมีการนำหินลาวาและดินบางชนิดจากภูเขาไฟมาใช้ วัสดุเหล่านี้มีความทนทานเหมาะที่จะทำถนน นอกจากนี้ในยุคหลังๆยังมีการค้นพบซีเมนต์ จากการผสมทราย ปูนขาว หินซิลิกา หินจากเถ้าภูเขาไฟและน้ำมาผสมกัน ซึ่งทำให้การก่อสร่างมีความรวดเร็ว คงทนและประหยัด


สะพานและท่อส่งน้ำ(Bridges and Aqueduct) การทำท่อน้ำมีทั่วไปในอาณาจักรโรมันเพื่อบริการน้ำสะอาดแก่ประชาชน เพราะเป็นบริการจากรัฐ น้ำจะแยกจากท่อใหญ่ไปตามท่อเล็กๆที่ทำด้วยตะกั่ว ท่อดินเผา หรือท่อไม้เข้าสู่เธอเม บ้านเรือน หรือตามที่สถาธารณะ เช่น น้ำพุ เป็นต้น ประมาณการณ์กันว่าโรมในสมัยนั้นใช้น้ำวันละ 350 ล้านแกลอน นอกจากโรมแล้วเมืองอื่นๆก็มีท่อลำเลียงน้ำเช่นนี้เหมือนกัน บางแห่งต้องลำเลียงน้ำผ่านหุบเขาและที่ลุ่มจึงจำเป็นต้องยกท่อให้ได้ระดับไม่เช่นนั้นน้ำจะไหลออกหมด ท่อน้ำที่มีสะพานรองรับยกระดับน้ำผ่านหุบเขาและที่ลุ่มที่มีชื่อเสียงมากคือ Pont Du Gard ที่เมืองนิมส์ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส มีช่วงที่ข้ามช่องเขาหลายตอนด้วยกัน การก่อสร้างใช้ระบบอาร์ค Arch หรือประตูโค้งกว้างช่องละ 82 ฟุตใช้หินก้อนละประมาณ 2 ตันวางเรียงกันโดยไม่ต้องใช้ซีเมนต์เชื่อม บางตอนอยู่ลึกมากจำเป็นต้องใช้ฐานรองรับถึง 3 ชั้นมีความสูงราว 50 เมตร มีความยาวจากแหล่งต้นน้ำถึงเมืองนิมส์ราว 30 ไมล์ ลำเลียงน้ำได้ราววันละ 100 แกลอน